วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2564

หนูอยู่ไม่ได้แล้ว 8 วิธีเอาคืนเจ้าหนูในบ้าน !!

หนูอยู่ไม่ได้แล้ว 8 วิธีเอาคืนเจ้าหนูในบ้าน !! 

1. ลูกเหม็น วิธีนี้อาจเรียกได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ก็รู้จักลูกเหม็นแล้วล่ะครับ มีจำหน่ายทั่วไป โดยเฉพาะตลาด มีขายเยอะเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่า วิธีดั้งเดิม ที่ใครหลายคนอาจลืมไปแล้วก็ได้ ยังคงได้คุณภาพอย่างดี วิธีการก็เพียงแค่ วางไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามซอก ตามมุม โดยเฉพาะจุดที่หนูวิ่งผ่าน กลิ่นของลูกเหม็น ทำให้หนูไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก ไม่น่านพวกเขาก็จำยอม หนีหายกันไปเอง

2. ไม้ไล่หนู อีกหนึ่งวิธี ที่ใช้หลักการของกลิ่นเช่นเดียวกับลูกเหม็น ตามข้อมูลบอกไว้ว่าเป็นไม้ยี่โถ ซึ่งกลิ่นของไม้ดังกล่าว หนูไม่ปลื้มใจนัก แต่หลายๆ ท่านก็บอกมาว่า ไม้ไล่หนู เมื่อเทียบกับราคาและคุณภาพแล้ว มันไม่ค่อยจะคุ้มกันเพราะต้องใช้ในปริมาณที่เยอะ ถึงจะได้ผล วิธีการใช้งานก็เช่นเดียวกับลูกเหม็นครับ วางไว้ตามจุดต่างๆ

3. สมุนไพรไล่หนู หรือที่หลายๆ ท่านรู้จักกันในชื่อ ลีโอแรท ซึ่งเป็นสารสกัดจากสมุนไพรต่างๆ ไล่หนูได้จริง มีให้เลือกทั้งแบบแผ่น วางเป็นจุดๆ และแบบสเปรย์ ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดในการใช้งานนะครับ

4. เลี้ยงแมว ขอยกเป็นวิธีต่อเนื่องเลยแล้วกันครับ เป็นอีกวิธีที่ยังคงได้ผลดี หลายท่านการันตีว่า ดีที่สุด เพราะเป็นวิธีตามธรรมชาติ แต่ขอเป็นแมวที่ใจกล้าหน่อยนะครับ โดยเฉพาะแมวบ้าน จะจับหนูได้เก่งกว่าแมวพันธ์อื่นๆ หามาเลี้ยงได้ง่ายด้วยครับ แต่ไม่ขอแนะนำวิธีนี้ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ เพราะขนของแมว สร้างภาระให้พอสมควรครับ และแมวบางตัวก็นิสัยไม่ดี หากไม่ฝึกให้ดี อาจสร้างความรำคาญได้ไม่น้อยเช่นกัน

5. กรงดักหนู วิธีนี้ได้ผลในระยะสั้น เหมาะสำหรับการกำจัดพร้อมทั้งป้องกันไปในตัว หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไปเช่นกันครับ หลักการก็คือ นำอาหารมาล่อ เพื่อให้หนูเข้ามากิน จากนั้นกรงดักหนูก็จะปิดอัตโนมัติ แต่ที่สำคัญ ควรหาที่ทิ้งหนูให้ได้ ทิ้งในป่าไกลจากบ้าน ทั้งนี้วิธีดังกล่าว แม้จะไม่ได้ฆ่ามัน แต่ก็เป็นการพรากหนูจากครอบครัว จึงไม่ขอแนะนำเท่าไหร่นัก เพราะหัวข้อนี้ ขอเป็นแบบไม่บาปนะครับ อีกทั้ง หนูส่วนใหญ่จะฉลาดมาก สามารถดักได้ในครั้งแรกๆ เท่านั้น ครั้งหลังๆ หนูจะเริ่มรู้จักกับเครื่องดักหนู ก็จะไม่เข้าไปแล้วครับ

6. เครื่องไล่หนู คลื่นเสียงความถี่สูง Microelectronic เป็นคลื่น Ultrasonic ไม่เป็นอันตรายต่อผู้มนุษย์ ปลอดภัยต่อเด็กและสัตว์เลี้ยง  แบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คลื่นความถี่ 20-45 KHz.ส่งคลื่นรบกวนระบบการได้ยินและประสาทของหนู  แมลงสาบ เมื่อพวกมันรับรู้ได้ถึงคลื่นที่ส่งออกมา พวกมันจะหาทางออกจากพื้นที่นั้ไป  ขับไล่ ไล่หนู ไล่แมลงสาบ สัตว์ที่มีฟันแทะที่อยู่ในจำพวกหนู สัตว์ตัวเล็กๆ เช่น แมงมุม  มด แมลงสาบ 

  • ครอบคลุมพื้นที่ 120 ตารางเมตร (Sq.m)
  • ใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูง Microelectronic เป็นคลื่น Ultrasonic ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ปลอดภัยต่อเด็กและสัตว์เลี้ยง
  • ความถี่คลื่น (Frequency) : 20 - 45Khz
  • ครอบคลุมพื้นที่ได้ 360 องศา ใช้งานง่ายเพียง เสียบปลั๊ก

7. คุยกับหนู วิธีนี้อาจดูว่าเหลวไหล แต่หลายๆ บ้านทดสอบแล้ว ใช้ได้จริง อย่างที่บอกไปข้างต้น หนูเป็นสัตว์ที่ฉลาดครับ หลายบ้านจึงลองทดสอบคุยกับหนู โดยวิธีการพูด หรือ เขียน โดยบอกกล่าวให้หนูย้ายไปอยู่ที่อื่น บอกเค้าดีๆ ด้วยจิตใจที่มีเมตตา เค้าก็จะไปเองครับ วิธีนี้ สำหรับแอดมินเอง ได้ยินมานานมากแล้วเหมือนกันครับ ใครยังไม่รู้จะใช้วิธีไหน ลองนำวิธีนี้มาใช้ก่อนเลยครับ

8. ดูแลบ้าน ข้อนี้ อาจเรียกได้ว่า เป็นวิธีที่กำจัดตั้งแต่ต้นตอของปัญหา คือการป้องกันไม่ให้หนูมาอาศัยอยู่ภายในบ้าน ด้วยวิธีการดูแลบ้านให้ถูกสุขลักษณะอยู่เสมอ ไม่มีเศษอาหารสะสม ไม่ตั้งของรกรุงรัง หนูเป็นสัตว์ประเภทที่ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ หากกำจัดมุมรกๆ มุมอับ หนูก็ไม่ค่อยจะมีเส้นทางเดิน ไม่มีที่อยู่อาศัย และหากกำจัดจำพวกเศษอาหาร หนูก็ย่อมไม่มีอาหาร ไม่สามารถอาศัยในบ้านของเราได้ ลิ้นชัก ตู้ ที่เก็บของใดไม่ค่อยได้เข้าใช้ หมั่นเข้าไปทำความสะอาดอยู่เสมออย่ารอให้หนูมายึดพื้นที่ สรุปโดยรวมแล้ว อาจกล่าวได้ว่า หากเราดูแลบ้านอยู่เสมอ หนูก็ยากที่จะเข้ามารบกวนครับ เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินไปใช่ไหม 

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564

เรื่องน่ารู้ ความรู้เกี่ยวกับสายเชื่อมไฟฟ้า

ความรู้เกี่ยวกับสายเชื่อมไฟฟ้า


    สายเชื่อมไฟฟ้านั้นมีหน้าที่นำกระแสเชื่อมที่ผลิตจากเครื่องเชื่อมไปสู่บริเวณอาร์กในการเชื่อมโลหะ สายเชื่อมที่ใช้ในวงจรเชื่อมนั้นมีอยู่ 2 สาย คือ สายดินและสายเชื่อม ส่วนปลายสายดินจะต่อเข้ากับที่จับชิ้นงานเชื่อม (Ground clamp) ส่วนสายเชื่อมจะต่อไว้กับตัวจับสายเชื่อม (Electrode Holder) สายเชื่อมโดยทั่วไปทำด้วยลวดทองแดงที่มีขนาด 0.20มม. ถึง 0.40 มม. และชั้นนอกหุ้มไว้ด้วยยางฉนวนไม่ว่าจะเป็นยางหรือพีวีซี สาเหตุที่ต้องใช้สายเชื่อมที่ทำด้วยลวดทองแดงขนาดเล็กจำนวนมาก เพราะต้องการให้สายเชื่อมสามารถโค้งงอตัวได้ ซึ่งสะดวกต่อการทำงานเชื่อมที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลา

ชนิดของสายเชื่อม

  • สาย เชื่อมไฟฟ้าสีดำ

    สายเชื่อมไฟฟ้าที่ดีทำจากยางสังเคราะห์คุณภาพดี  ทนความร้อนได้ดีและไม่เปื่อยง่าย  ทนต่อการลากถูในงานสนาม เหมาะสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมหนักที่มีอุณหภูมิสูง หรืองานที่อยู่กลางแจ้ง และงานในอู่ต่อเรือต่างๆ

  • สายเชื่อมไฟฟ้าสีส้ม

    สายเชื่อมไฟฟ้าสีส้ม ทำจากเนื้อพีวีซี เป็นฉนวนทางไฟฟ้าและป้องกันความร้อนได้ดีเยี่ยม ทนน้ำมันและสารเคมีต่างๆและกรด ด่างได้ดี จึงเหมาะกับงานในโรงงานอุตสาหกรรมเคมีต่างๆ และงานทั่วๆไป

คุณสมบัติสายเชื่อม

    สายเชื่อมที่ผลิตส่วนใหญ่จะมีฉนวนห่อหุ้มเพื่อป้องกันกระแส แรงดันไฟฟ้า ที่จะทาให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ฉนวนทำหน้าที่ห่อหุ้มตัวนำ ป้องกันการสัมผัสกันเองของตัวนำพื้นดินตลอดจนสารเคมีต่างๆ และยังช่วยถ่ายเทความร้อนออกจากตัวนำ ช่วยเพิ่มคุณสมบัติการทนความร้อนของสายไฟ มักเลือกใช้ชนิดของฉนวนตามลักษณะงาน ตามปัจจัยด้านแรงดัน สภาพแวดล้อม ซึ่งส่วนใหญ่แบ่งฉนวนด้านนอก เป็น 2 ชนิด

  • แบบห่อหุ้มด้วยฉนวนยาง (Rubber)
  • แบบห่อหุ้มด้วยฉนวนแบบ PVC

งานด้านเกี่ยวกับไฟฟ้า (Electrical)

สายหุ้มฉนวนด้วยยางส่วนใหญ่สายเหล่านี้จะใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในการต่อเรือ, ในการขนส่ง,ระบบสายพานลาเลียง, เครื่องมือการทาเครื่องจักร และหุ่นยนต์เชื่อม ฯลฯ เนื่องจากสายมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการต่อต่อกระแส แรงดึง การฉีดขาด มีความเหมาะสมสาหรับการใช้งานที่โหลดทางกลสูงในที่แห้ง ห้องชื้น และเปียกเป็นอย่างดี

สรุปคุณสมบัติของสายไฟฟ้าแบบ Rubber

1. มีคุณสมบัติความยืดหยุ่นได้ดี

2.มีความเหนียวและความทนทาน

3.ทนทานต่อการขาดของสาย และรอยขีดข่วน

4.ทนต่อน้ามันและตัวทาละลายและสารเคมี

5. ทนอุณหภูมิต่อเนื่องได้ดีที่ 65 C

สายเชื่อม แบบ PVC

งานด้านเกี่ยวกับไฟฟ้า (Electrical) เนื่องจากพีวีซี มีค่าความต้านไฟฟ้าสูง ไม่ก่อให้เกิดการลุกลาม ของไฟ จึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับงานด้านนี้ นิยมนามาทาฉนวน และปลอกนอกหุ้มสายไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ท่อร้อยสายไฟ โทรศัพท์ ฉนวนหุ้มสายโทรศัพท์ และปลั๊กเสียบสายไฟฟ้า


วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

ตัดแต่งต้นไม้ตัดยังไงให้ออกมาดี ควรใช้อะไรในการตัดแต่ง ?

 ตัดแต่งต้นไม้ตัดยังไงให้ออกมาดี

ควรใช้อะไรในการตัดแต่ง ?


   การตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ ให้โปร่ง ป้องกันกิ่งฉีกหักเสียหายจากลมแรงและพายุ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงฤดูหนาว ประมาณกลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระยะที่ต้นไม้พักตัว (ต้นไม้เริ่มผลัดใบ) และเก็บสะสมอาหาร เตรียมสำหรับการแตกยอดใบใหม่ในฤดูกาลถัดไป แต่เราก็ยังสามารถตัดแต่งกิ่งต้นไม้เล็กๆ น้อยๆ ได้ตลอดทั้งปีตามความเหมาะสม

ลักษณะของ กิ่งที่สมควรตัดทิ้ง

1. กิ่งกระโดงหรือกิ่งน้ำค้าง เป็นกิ่งที่เจริญเติบโตแยกจากส่วนของกิ่งใหญ่ตอนล่าง ลักษณะชี้ตั้งตรงไม่โผล่ออกมานอกพุ่มใบ หากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นภาระในอนาคต เพราะลำต้นจะส่งอาหารไปเลี้ยงกิ่งอื่นๆที่จำเป็นต่อการให้ดอกให้ผล เท่ากับว่าต้องแบ่งอาหารมาให้กิ่งกระโดงด้วยบางส่วน

2. หน่อหรือกิ่งโคนต้น กิ่งที่แตกออกมาบริเวณส่วนล่างของโคนต้น ควรตัดทิ้งเช่นกัน

3. ง่ามกิ่ง ที่บริเวณปลายกิ่งขนาดย่อย

4. กิ่งคดงอ เป็นกิ่งที่คดโค้งอยู่ภายในพุ่ม มีลักษณะอ่อนแอ ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากได้รับแสงไม่เพียงพอจึงควรตัดทิ้ง

5. กิ่งที่ฉีกหักคาต้น ถ้ากิ่งที่ฉีกหักคาต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1 นิ้วขึ้นไป ควรตัดทิ้ง แล้วตกแต่งแผลด้วยการ ทาปูนแดงหรือสีน้ำมันให้ทั่ว เพื่อป้องกันเชื้อรา

เทคนิคการตัดกิ่งไม้ขนาดใหญ่

1.เลื่อยด้านล่างของกิ่งห่างจากลำต้นประมาณ 20 เซนติเมตร โดยตัดให้ลึกประมาณครึ่งหนึ่งของความหนาของกิ่ง เพื่อความปลอดภัยควรผูกเชือกไว้ที่กิ่งกับลำต้น ป้องกันการหล่นลงมาใส่ผู้ทำงานที่อยู่ด้านล่าง

2.ตัดด้านบนให้ห่างจากรอยเดิมประมาณ 10 เซนติเมตรตามภาพ

3.ครั้งสุดท้ายตัดให้ชิดลำต้น โดยให้รอยตัดตั้งฉากกับกิ่ง แผลจากการตัดต้องเรียบ ไม่เป็นแอ่ง เพราะอาจเกิดน้ำขังจนเป็นเชื้อรา อย่าลืมทาปูนแดงหรือสีน้ำมันทุกครั้งหลังการตัดแต่งกิ่งที่เกิดแผล

วิธีประกอบ เลื่อยตัดแต่งกิ่งไม้ไร้สาย และ เครื่องตัดแต่งพุ่มไม้สูงไร้สาย SUMO

วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2564

เทคนิคของการใช้สว่านและการบำรุงรักษา ที่ถูกวิธีควรทำอย่างไร ?

เทคนิคของการใช้สว่าน

และการบำรุงรักษา ที่ถูกวิธีควรทำอย่างไร ?


สว่านไร้สาย หรือ สว่านแบตเตอรี่ (Cordless drill)

    สว่านไร้สาย หรือสว่านแบตเตอรี่ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายประเภทได้เป็นอย่างดี ตัวสว่านเองไม่มีสายไฟพะรุงพะรังให้เกะกะรำคาญใจในการทำงาน และผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องง้อไฟฟ้า จึงสามารถพกพาสว่านไปใช้งานได้ในทุกๆที่ เพิ่มความคล่องตัวและสะดวกในการทำงานอย่างมาก และยังปลอดภัย ไม่ต้องกลัวฟ้าผ่า หรือไฟช็อต

เทคนิคการใช้งานสว่าน

1. การใส่ดอกสว่าน ต้องใส่ดอกสว่านตรงกลางหัวจับ ดอกสว่าน หมุนล็อกดอกสว่านให้แน่นโดยการหมุนหัวสว่าน

2. การเจาะรูโลหะ ควรใช้ดอกสว่านให้ตรงตามประเภทวัสดุที่เจาะ ก่อนการเจาะโลหะควรตอกเหล็กนำศูนย์รูเจาะ เพื่อไม่ให้ดอกสว่านลื่นไถลออกจากตำแหน่งที่ต้องการ ขณะเจาะควรหยอดน้ำมันหล่อลื่นบริเวณรูเจาะ เพื่อป้องกันความร้อนจากการเจาะ และควรใช้รอบเจาะที่ช้า

3. สำหรับการเจาะรูใส่สกรู , น๊อต เพื่อให้หัวสกรู ฝังเสมอกับผิวชิ้นงานแลดูสวยงาม สามารถทำได้โดยเลือกฟังก์ชันการทำงานหมุนไปที่ การขันสกรู เพื่อที่หัวสกรูจะเสมอผิวพอดี

4. การ เจาะวัสดุให้ทะลุ ทั้งไม้หรือโลหะ ควรนำเศษวัสดุที่เรียบมาวางรองด้านล่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเศษครีบจากการเจาะ หรือไม้ฉีกแตกไม่เรียบ


*** รีวิว สว่านกระแทกไร้สาย จาก Sumo ***


*** รีวิวดอกสว่านเจาะปูน จาก Sumo ***

การจัดเก็บและบำรุงรักษาสว่านไร้สาย

1. เมื่อใช้งานสว่านเสร็จแล้ว ควรมีการทำความสะอาดทุกครั้ง โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นซอกที่อาจมีเศษผงจากการเจาะเข้ามาติดในมอเตอร์ ซึ่งอาจทำให้สว่านพังหรือเกิดความเสียหายได้

2. ตรวจสอบตรวจซ่อมสว่านว่ายังคงมีสภาพการใช้งานได้ปกติ ควรตรวจเช็คประสิทธิภาพแบตเตอรี่ เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานในครั้งต่อๆไป

3.หลังจากใช้งานสว่านเสร็จ ควรถอดดอกสว่านออกทุกครั้ง และในส่วนที่เป็นโลหะควรเช็ดด้วยน้ำมันเพื่อป้องกันการขึ้นสนิม

4. เก็บสว่านและอุปกรณ์ต่างๆ ให้ถูกที่ และไม่ควรเก็บไว้ในที่ชื้น ควรเก็บไว้ในที่เเห้ง

5. ใช้งานแล้วควรชาร์จไฟให้เต็ม เพื่อการใช้งานในครั้งถัดไป


วีธีขัน น็อต , รูน็อต 6 เหลี่ยม และทางแก้ไขเมื่อเอาไม่ออก ต้องอ่าน !!

 วีธีขัน น็อต , รูน็อต 6 เหลี่ยม 

และทางแก้ไขเมื่อเอาไม่ออก ต้องอ่าน !!


วิธีขันน๊อต 6 เหลี่ยมที่เหลี่ยมรูดแล้วหรือแน่นมากๆจนขันไม่ออก

วิธีการไม่ยุ่งยาก แต่อาจต้องใช้เครื่องมือบ้างซักเล็กน้อย ก่อนอื่นให้ใช้ #ค้อนตี ไปที่หัวน๊อตเบาสัก 2-3 ครั้งนะครับเพื่อให้เกลียวมีการขยับตัว จากนั้นลองเลือกวิธีที่เหมาะๆตามนี้ดูครับ

  • ใช้คีมล็อค หามุมล็อคให้ดีแล้วบีบหมุน
  • ใช้เลื่อย  ผ่าหัวน๊อตแล้วเอาไขควงปากแบนไข
  • เชื่อมน๊อตอีกตัวบนหัวน๊อตที่รูดแล้วใช้ประแจขันออก
  • หาไขควงตอก ค่อยๆตอกไปที่ริมน๊อตในทิศทางหมุนออก
  • หาหินเจียร์ แต่งหัวน๊อตใหม่ให้เป็นเหลี่ยมแล้วหาลูกบล็อกหรือประแจเล็กลงมาขัน
  • สว่าน เจาะลงกลางหัวน๊อตแล้วใช้เกลียวถอยขันออก

จะเห็นได้ว่ามีเครื่องมือติดบ้านไว้ งานช่างเล็กๆน้อยๆในบ้านก็จะง่ายขึ้น 

ส่วนน็อตรู 6 เหลี่ยม เหลี่ยมเกลียวหวานมีวิธีไขไหม ?

ชุดประแจแอลหกเหลี่ยมหัวบอล 9ตัว/ชุด (มิล) Tool Star


1.หยอดน้ำมัน บริเวณจุดเชื่อมต่อ ใช้ หกเหลี่ยม เบอร์ที่ฟิตๆ กับ หัว hex key ตอกลงไปให้แน่นแล้วขัน  

2. เนื่องจาก ในภาพ เป็น โบลท์ 6 เหลี่ยมขนาดเล็กมาก จึงไม่สามารถใช้การสกัดได้   ใช้ไขควงแบน เบอร์เล็กสุด และด้ามเป็นหัสเหล็ก ตอกลงไปให้เป็นบ่า จากนั้นขันออกครับ  ใช้นำมันหล่อลื่น ไปด้วย ในจุดหมุน ( ไขควงต้องคุณภาพดีนะครับ หัวต้องแข็ง พอที่จะทำให้หัวกรู เป็นบ่าได้  )

3. ถ้าไม่ได้จริงๆ คงต้องใช้ดอกสว่านเจาะทำลาย โบลท์ลงไปครับ แล้ว tap เกลียวใหม่  ถ้าคิดจะทำ ก็ใช้เวลานานครับ ถ้าไม่ได้สลักสำคัญอะไร ผมไม่แนะนำวิธีนี้ เพราะ มันช้ามาก ยิง ของเสกลเล็กๆ ไม่เหมาะจะใช้วิธีนี้ครับ แต่ถ้าไม่มีทางเลือก ก็ใช้วิธีนี้ครับ


วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2564

เลือกดอกสว่านยังไงให้เหมาะสมกับการใช้งาน ?

 วิธีการเลือกดอกสว่านยังไงให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละประเภท


    ดอกสว่าน เป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งของเครื่องมือช่าง ซึ่งทำหน้าที่กัดเจาะเนื้อวัสดุต่างๆออกมาเป็นรู เพื่อที่เราจะได้ตอกตะปู ใส่พุกเพื่อขันนอตหรือสกรูได้สะดวก โดยไม่ทำให้พื้นผิวของวัสดุเสียหายเนื่องจากการแตกร้าวของชิ้นงาน

ปัจจุบัน ดอกสว่าน มีให้เลือกใช้มากมายหลายขนาด ตามวัตถุประสงค์ของงานหรือวัสดุที่ต้องการเจาะรู ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก ปูนหรืองานคอนกรีต ดังนั้นการเลือกซื้อดอกสว่านมาใช้งาน เราจึงต้องรู้ไว้ด้วยว่าจะนำดอกสว่านไปใช้กับงานอะไร 

สำหรับดอกสว่านเองนั้นก็ไม่สามารถจะเจาะวัสดุต่างๆ ได้เพียงลำพัง แต่จะต้องใช้งานควบคู่ไปกับสว่านเสมอ โดยตัวสว่านจะทำหน้าที่ยึดจับดอกสว่านไม่ให้สะบัดในขณะใช้งาน 


1. ดอกสว่านเจาะไม้

    ลักษณะปลายดอกจะคล้ายหางปลา เป็นดอกสว่านที่ใช้สำหรับเจาะไม้ที่มีขนาดไม่กว้างนัก โดยขนาดที่นิยมใช้กันทั่วไปก็คือ ขนาด 5,6 หรือ 8 มิลลิเมตร อาทิ ใช้เจาะรูเพื่อใส่บานพับประตู หน้าต่าง หรือเจาะรูเพื่อร้อยสายไฟต่างๆ


2.ดอกสว่านเจาะเหล็ก

    ลักษณะของดอกสว่านเป็นเกลียวตัดตลอดดอก ปลายดอกแหลมเป็นพิเศษ ใช้สำหรับจิกชิ้นงาน ดังนั้นดอกสว่านชนิดนี้ จึงสามารถนำมาใช้เจาะชิ้นงานที่เป็นไม้หรือโลหะทั่วไป รวมถึงพลาสติกได้อีกด้วย แต่หากจะใช้ดอกสว่านเจาะเหล็กที่มีความหนามากๆ ควรเลือกดอกสว่านแบบไฮสปีด (High Speed Steel) ซึ่งผ่านการชุบแข็งที่ปลายดอกสว่าน โดยทำงานได้อย่างรวดเร็ว และมีอายุการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้น


3. ดอกสว่านเจาะปูน

    หรือคอนกรีต ลักษณะของดอกสว่านเป็นเกลียวบิด ส่วนปลายดอกเป็นเหล็กชุบแข็งพิเศษ เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทกจากการใช้งาน เหมาะสำหรับการเจาะปูน ซีเมนต์บล็อก หรืออิฐมอญ ฯลฯ


วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2564

เลื่อยวงเดือน มันใช้ยากกันที่ไหน มาดูดีกว่าว่าใช้ยังไง ?

เลื่อยวงเดือน 

มันใช้ยากกันที่ไหน มาดูดีกว่าว่าใช้ยังไง ?

    เลื่อยวงเดือน เป็นเครื่องมือช่างพื้นฐานที่สำคัญในการทำงานช่าง โดยเฉพาะช่างไม้ เป็นเลื่อยอเนกประสงค์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย เช่น ตัด ซอย บังใบ ตัดเข้ามุม ตัดเรียวและทำเดือยแบบต่างๆ สำหรับคนที่อยากจะทำงานไม้และกำลังมองหาเลื่อยวงเดือนมาใช้งาน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเลือกเลื่อยวงเดือนตัวไหนดีเรามีคำแนะนำวิธีตัดสินใจเลือกซื้อเลื่อยวงเดือน ซึ่งแบ่งเป็นทั้งหมด 4 ปัจจัย ดังนี้

1. งบประมาณ

    ปัจจุบันตลาดเครื่องมือช่างมีการแข่งขันค่อนข้างสูง มีเครื่องมือช่างให้เลือกซื้อมากมาย หลายราคา หลายเกรด สำหรับลูกค้าที่ต้องการหาซื้อเลื่อยวงเดือนคุณภาพดี มีการรับประกัน สะดวกสบายไร้สายไฟรบกวนการทำงาน

2. ขนาดและประเภทของวัสดุที่ต้องการตัด

    โดยทั่วไปเลื่อยวงเดือนมีหลายรูปแบบหลายขนาดแล้วแต่รุ่นที่แต่ละบริษัทผู้ผลิตได้ผลิตออกมา ขนาดของเลื่อยวงเดือนจะกำหนดตามขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางของใบเลื่อย ซึ่งจะมีขนาดตั้งแต่ 4 นิ้ว - 16 นิ้ว ขนาดของชิ้นงานที่สามารถตัดได้ขึ้นอยู่กับขนาดของเลื่อยวงเดือน ถ้าใบเลื่อยเล็กก็ใช้ตัดชิ้นงานที่มีความหนาไม่มาก ถ้าใบเลื่อยใหญ่ก็ตัดชิ้นงานที่มีความหนามากๆ ได้

3. ความเร็วรอบ

  • เลื่อยวงเดือนไร้สายของจะมีความเร็วรอบอยู่ในช่วง 3,800 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นความเร็วรอบที่เหมาะสมกับการตัดไม้ ถ้าความเร็วรอบต่ำมากจะทำให้ไม้ที่ตัดเกิดการแตกหรือเกิดเสี้ยน ถ้าความเร็วรอบสูงเกินไปก็จะเกิดรอยไหม้ที่เนื้อไม้ตรงรอยตัด
  • การตัดพลาสติกจะใช้ความเร็วรอบในช่วงเดียวกับการตัดไม้ แต่สามารถใช้ความเร็วรอบต่ำกว่าได้เพราะไม่เกิดเสี้ยนเหมือนเนื้อไม้ ถ้าความเร็วสูงเกินจะเกิดความร้อน ทำให้ขอบละลายหรือย้วยและบิดแอ่นหากแผ่นพลาสติกบาง
  • อลูมิเนียมต้องใช้ความเร็วรอบต่ำกว่า ประมาณแค่ 1,200-1,500 รอบต่อนาที เพราะจะเกิดความร้อนสะสมสูงที่ใบตัด ทำให้เสื่อมเร็วและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้

4. อะไหล่และบริการหลังการขาย

    นอกจากลูกค้าจะพิจารณาสเปกของเลื่อยวงเดือนแล้ว ประกันและบริการหลังการขายก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจในการเลือกซื้อ ซึ่งระยะเวลาการรับประกันตัวสินค้าจะแตกต่างกันแล้วแต่ร้านค้าที่กำหนดขึ้นมานั่นเอง แต่ส่วนใหญ่ที่จะให้มาคู่กับเลื่อยวงเดือนคือ การรับประกันแบตเตอรี่ 1 ปี ทั้งยังมีอะไหล่ซ่อมบำรุง และซื้อแบตเตอรี่เพิ่มได้ตลอดอายุการใช้งาน


" โต๊ะเครื่องเลื่อยวงเดือน 10 นิ้ว รุ่น 2118 "

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2564

เคเบิ้ลไทร์ แกะยาก แต่แกะได้ ลองดูแล้วทำตาม !!

 เคเบิ้ลไทร์ 

เคเบิ้ลไทร์แกะยาก แต่แกะได้ ลองดูแล้วทำตาม !!



เราจะแกะเคเบิ้ลไทร์ได้อย่างไรกัน ? เคเบิ้ลไทร์แบ่งง่ายๆ  ตามการใช้งานแล้วมี 2 แบบ คือ แบบใช้งานครั้งเดียว กับแบบที่นำมาใช้ซ้ำได้ (เคเบิ้ลไทร์ปลดล็อคได้) แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเคเบิ้ลไทร์แบบใช้งานครั้งเดียว เมื่อรัดไปแล้วเราสามารถแกะนำมาใช้ใหม่ได้โดยไม่ต้องตัดทิ้ง


1. มองหาเขี้ยวล็อคสาย

2. งอปลายสายกลับไปเข้าหาห่วงที่ล็อคสาย 

3. ใช้อะไรแหลมๆ เขี่ยตรงเขี้ยวล็อคสาย เพื่อปลดล็อค


4. ดึงปลายสายออก

เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้เคเบิ้ลไทร์เส้นเก่ากลับมาใช้ใหม่แล้ว

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564

การเลือกรองเท้าเซฟตี้มันสำคัญยังไง ?

การเลือกรองเท้าเซฟตี้มันสำคัญยังไง ?



    การเลือกรองเท้าเซฟตี้มีความสำคัญต่อการยืดอายุการใช้งานอย่างมาก ทั้งเรื่องดีไซน์ น้ำหนัก วัสดุ รวมไปถึงความสวยงามก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน

    ควรเริ่มจากการทำการประเมินความเสี่ยงของพนักงานที่สวมใส่รองเท้ากับสภาพแวดล้อมของการทำงาน ว่าแบบไหนที่จะเหมาะสม เพื่อที่จะเลือกกำจัดหรือป้องกันอันตรายจากการทำงาน ซึ่งจะต้องทราบลักษณะงานหรือ สถานที่ทำงานอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ทราบระดับของการป้องกัน และสามารถเลือกใช้รองเท้า safety ได้อย่างเหมาะสมที่สุด

    สิ่งที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ แรงกระแทกตรงหัวรองเท้านิรภัยที่ต้องใช้ โดยปกติทั่วไปมีทั้งขนาด 100-200 จูล และจำเป็นหรือไม่ว่าต้องมีแผ่นเหล็กรองตรงกลางของพื้นรองเท้า safety หรือไม่ เพื่อป้องกันการเจาะทะลุจากการเหยียบตะปู นอกจากนั้นส่วนที่ต้องการป้องกันเพิ่มเติม เช่น ป้องกันไฟฟ้าสถิตย์, ป้องกันความร้อน, ป้องกันความเย็นและความชื้น, ป้องกันน้ำ, ป้องกันการลื่นน้ำมันหรือน้ำมันกัดรองเท้าเซฟตี้หรือไม่, ป้องกันสารเคมี และอื่นๆ

มาตรฐานรองเท้านิรภัยยุโรป EN345

  • หัวรองเท้าจะต้องมีการป้องกันแรงกระแทกได้สูงถึง 200 จูล
  • ผ่านการทดสอบของแรงบีบอัดได้
  • บริเวณส่วนบนของรองเท้านั้นจะต้องมีความหนาที่เพียงพอและสามารถต้านทานของการขัดสีได้ในระดับที่มาตรฐานกำหนดไว้
  • พื้นรองเท้าต้องสามารถที่จะทนต่อความร้อนได้ดี ต้านทานการขัดสี และสามารถรับแรงกระแทกได้ดี นอกจากนี้ยังต้องทนทานต่อสารเคมีหรือน้ำมันบางชนิดที่มีข้อกำหนด

อักษรย่อตามมาตรฐาน EN345

    ทั้งนี้มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ EN345 ยังมีข้อบังคับให้ผู้ผลิตระบุอักษรย่อเพื่อบอกคุณสมบัติของรองเท้าเอาไว้ดังนี้

  • SB (Safety Basic) สำหรับรองเท้ามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน
  • SBP (SB with pierce resistant midsole) สำหรับรองเท้ามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานพร้อมพื้นต้านทานการแทงทะลุ
  • S1 (SB with anti-static sole and cushioned heel area) สำหรับรองเท้ามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานพร้อมพื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต
  • S1P (S1 with pierce resistant midsole) สำหรับรองเท้ามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานพร้อมพื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต รวมทั้ง พื้นต้านทานการแทงทะลุ
  • S2 (S1 with water resistant upper) สำหรับรองเท้ามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานพร้อมพื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต รวมทั้ง ส่วนบนต้านทานน้ำ
  • S3 (S2 with pierce resistant midsole) สำหรับรองเท้าที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐานพร้อมพื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต ส่วนบนต้านทานน้ำ รวมทั้ง พื้นต้าน ทานการแทงทะลุ

มาตรฐานรองเท้านิรภัย ANSIZ41.1

  • หัวของรองเท้าต้องทนต่อการถูกตกกระแทก หรือแรงบีบได้
  • รองเท้าจะต้องมีแผ่นป้องกันกระดูกเท้าส่วนบน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่กระดูกเท้าด้านบนจะแตกหรือหักจากแรงตกกระแทกได้
  • รองเท้าจะต้องสามารถกระจายไฟฟ้าสถิตได้ โดยไม่เพียงแต่ต้องป้องกันการถูกไฟดูดเท่านั้น แต่รองเท้ายังต้องเป็นตัวนำไฟฟ้าให้กระจายลงสู่พื้นได้ด้วย
  • รองเท้าตัวนำ จะต้องมีคุณสมบัติปล่อยไฟฟ้าสถิตจากร่างกายลงสู่พื้นได้ดี เพื่อป้องการไฟฟ้าสถิตสะสม และอาจเป็นอันตรายได้เมื่อเข้าไปทำงานในจุดที่มีวัตถุหรือสารระเบิด
  • รองเท้าจะต้องมีความทนทานเพียงพอไม่ให้มีการถูกเจาะทะลุ ส่วนสำคัญของรองเท้าเซฟตี้ตามมาตรฐานข้อนี้อยู่ที่พื้นรองเท้า
  • รองเท้ากระจายไฟฟ้าสถิต ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นำคุณสมบุติเรื่องการกระจายไฟฟ้าสถิตออกจากตัวผู้สวมใส่ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไฟดูดได้

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2564

เพราะอะไร ทำไม ? ถึงต้องใช้มัลติมิเตอร์ !!

 เพราะอะไร ทำไม ? ถึงต้องใช้มัลติมิเตอร์ !! 


หากคุณทำงานในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์หรือเป็นช่างไฟฟ้าก็ไม่มีใครจำเป็นต้องบอกคุณว่าทำไมคุณถึงต้องใช้มัลติมิเตอร์ อย่างไรก็ตามหากคุณเป็นเจ้าของบ้านหรือเป็นคนที่มีประโยชน์คุณอาจจะไม่ใช้อุปกรณ์ตรวจวัดไฟฟ้าทุกวันและความต้องการอุปกรณ์ดังกล่าวอาจไม่ปรากฏทันที แต่เก็บมัลติมิเตอร์ไว้ในตู้เครื่องมือและคุณจะประหลาดใจกับความถี่ที่คุณใช้ นี่เป็นเพียงไม่กี่สถานการณ์ที่มัลติมิเตอร์จะมีประโยชน์

    เมื่อเครื่องใช้งานไม่ทำงานคุณสามารถตั้งมัลติมิเตอร์เพื่อทดสอบแรงดันไฟฟ้าและเสียบขั้วต่อเข้ากับช่องเสียบ หากมัลติมิเตอร์ไม่แสดงแรงดันเลยคุณรู้ว่าคุณมีปัญหาวงจรที่ป้องกันไม่ให้กระแสไหล หรือคุณอาจพบว่าการเคลื่อนโพรบไปรอบ ๆ ทำให้มิเตอร์นั้นกระโดดซึ่งหมายความว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนเต้าเสียบ ในทางกลับกันคุณอาจได้แรงดันไฟฟ้าที่อ่าน แต่มีขนาดเล็กกว่าที่ควรจะเป็น - นี่คือจุดที่ข้อบกพร่องของวงจรที่ต้องการความสนใจ

    เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทันสมัยนั้นเต็มไปด้วยองค์ประกอบวงจรที่มีความอ่อนไหว เมื่ออุปกรณ์ทำงานผิดปกติมัลติมิเตอร์เป็นเครื่องมือที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์ในส่วนที่เป็นสาเหตุของปัญหา

    มีลิ้นชักเก่า ๆ ของแบตเตอรี่หรือหลอดไฟหรือไม่? ใช้ฟังก์ชั่นโวลต์มิเตอร์เพื่อทดสอบแบตเตอรี่เพื่อดูว่าแบตเตอรี่ตัวไหนดีและรุ่นไหนที่คุณควรทิ้ง ตั้งค่ามิเตอร์เพื่อวัด ความต่อเนื่อง หรือ ความต้านทาน เพื่อทดสอบหลอดไฟ ความต้านทานไม่มีที่สิ้นสุดหรือผลต่อเนื่องเชิงลบหมายถึงหลอดไฟไม่ดี

    ถ้าคุณคิดว่าสวิตช์ไม่ดีคุณสามารถใช้ฟังก์ชั่นโอห์มมิเตอร์บนมัลติมิเตอร์เพื่อทดสอบได้ ปิดเบรกเกอร์และปลดสวิตช์จากนั้นตั้งค่ามิเตอร์เพื่อวัดความต้านทานและสัมผัสหัววัดไปที่ขั้วสวิตช์ เมื่อสวิตช์เปิดอยู่ค่าความต้านทานควรอยู่ใกล้กับศูนย์ หากความต้านทานสูงมากก็ถึงเวลาสำหรับสวิตช์ใหม่

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

12 เครื่องมือช่างขั้นเบสิก ที่สาว ๆ ควรมีติดบ้านไว้

 12 เครื่องมือช่างขั้นเบสิก ที่สาว ๆ ควรมีติดบ้านไว้


    มาทำความรู้จักกับเครื่องมือช่างขั้นพื้นฐานที่ สาว ๆ ควรมีติดบ้านไว้กันดีกว่า พอเจอปัญหาบ้าน ๆ เมื่อไหร่จะได้ลงมือแก้ไขเบื้องต้นเองได้ไม่ต้องง้อช่าง

          เคยเจอกันบ้างไหมพออะไรเสีย ก็ต้องรอช่างมาซ่อมเป็นวัน ๆ สิ่งที่สาว ๆ อย่างเราทำได้มากสุดก็แค่โทรตามและนั่งรอตาปริบ ๆ หรือมีเครื่องมืออยู่กับตัวแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะหยิบจับมาใช้อย่างไร เว็บไซต์ sheknows.comเลยรวบรวม 12 เครื่องมือช่างที่สาว ๆ ควรมีติดบ้านไว้พร้อมเรื่องเม้าท์มอยเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเครื่องมือเหล่านี้มาบอกกัน แล้วจะรู้ว่าจะงานช่าง ซ่อมแซม หรือต่อเติมที่ดูว่ายาก มันง่ายกว่าที่คิดเยอะเลยล่ะ 

1. สว่านไร้สาย งานเจาะของต้องมีเขา 

          เครื่องมือช่างที่สาว ๆ ไม่ต้องคอยกังวลและเสียเวลากับการตวัดสายให้อยู่ด้านหลังทุกครั้งที่ใช้งาน เพราะมีระบบมอเตอร์อยู่ที่ปลายด้ามจับ ส่วนงานหลักของเขาก็คือ การเจาะวัด

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2564

ปลั๊กไฟ อันตรายที่ไว้ใจไม่ได้สำหรับลูกน้อย !!


ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ปลั๊กไฟก็ถือเป็นอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หากใช้อย่างประมาท ไม่ระมัดระวัง โตแล้วอาจจะต้องไม่ต้องเป็นห่วงมาก แต่สำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ค่อยประสีประสาต้องบอกเลยว่า อันตรายมาก เสี่ยงโดนไฟดูด ซึ่งในวันนี้เราจะมาแนะนำ 9 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

โดยทั่วไป แล้วเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการโดนไฟดูดมากที่สุด คือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เด็กเล็กตั้งแต่วัยคลานขึ้นไป มักชอบที่จะใช้นิ้วเขี่ยอะไรไปทั่ว ชอบหยิบของที่ตกอยู่ตามพื้นและบางครั้งก็มักจะเอาพวกกิ๊บ หรือของต่างๆ ที่คว้าได้ แหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟตามผนัง ตามปลั๊กสามตา หรือปลั๊กต่อพ่วงที่เสียบไฟไว้ บางครั้งก็คว้าสายไฟไปกัดด้วยความมันเขี้ยว จนอาจเกิดอันตรายร้ายแรงกับลูกได้ ดังนั้นเราจึงควรหาวิธีป้องกัน ระวังอันตรายใกล้ตัวคร่าชีวิตลูก ไว้ก่อนจะดีกว่า

1. ใส่ตัวครอบปลั๊ก
หาซื้อตัวครอบปลั๊กไฟมาปิดรูปลั๊กที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งตัวครอบปลั๊กนั้นหาซื้อได้ง่ายมากตามแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้าง หรือตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป

2. ความสูงของปลั๊กไฟ
ควรติดตั้งปลั๊กไฟให้อยู่สูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร

3. เก็บและม้วนสายไฟทุกครั้ง
เก็บและม้วนสายไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดหลังใช้งานเสร็จเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกกัดสายไฟ

TAP 1

4. ไม่ควรปล่อยให้สายไฟจากเครื่องใช้ไฟฟ้าห้อยหรือเสียบพาดอยู่ตามพื้น
เพราะเด็กเล็กอาจกระชากสายไฟเล่นจนทำให้เกิดไฟช็อต และอาจทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเช่นกระติกน้ำร้อนร่วงตกลงมาใส่หัวเด็กจนเป็นอันตรายได้

5. หมั่นตรวจสอบสายไฟ
อย่าปล่อยให้สายไฟเปื่อยหรือชำรุด หากเจอต้องเปลี่ยนทันที ไม่ควรนิ่งนอนใจ

6. ระวังปลั๊กสามตา หรือปลั๊กต่อพ่วง
หากมีการใช้ปลั๊กสามตา หรือปลั๊กต่อพ่วง ควรไว้ในที่สูง และไม่ควรเสียบไฟมากจนเกินกำลังไฟ เพราะบางครั้งการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมกันหลายๆ ตัว ก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดไฟช็อตหรือไฟรั่วได้

Multiple electricity plugs on adapter risk overloading and dangerous.

7. ระวังเสียบปลั๊กไม่แน่น
การเสียบปลั๊กไม่แน่น ไม่มิด มีเหล็กเสียบเลื่อนออกมาก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องคอยระวัง เพราะนอกจากจะเสี่ยงที่จะทำให้เกิดประกายไฟที่หัวปลั๊กแล้ว ยังเสี่ยงต่อการที่เจ้าตัวเล็กจะไปจับเล่นจนโดนไฟดูดอีกด้วย

8. ติดตั้งเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ
คุณพ่อคุณแม่ควรหาซื้อและติดตั้งเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

9. ตรวจดูต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบบ้าน
ตรวจดูต้นไม่ที่ปลูกไว้รอบบ้าน ไม่ให้ไปเกี่ยวกับสายไฟ และหากพบเห็นก็ไม่ควรหักกิ่งตัดต้นเองนะครับ ควรโทรแจ้งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจะดีที่สุด


ที่มา :: www.smtinter.com , www.sgb.co.th , www.shw.co.th

ประเภทสินค้า :: กล่องกระจายไฟ , เพาเวอร์ปลั๊ก , พาวเวอร์ปลัํก

Facebook :: sumo.siamglobal

ภาพประกอบ :: ddproperty

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2564

ไขควงวัดไฟ ราคาหลักสิบแต่ประโยชน์เกินคาด

     

ไขควงวัดไฟ ราคาหลักสิบแต่ประโยชน์เกินคาด


“ไขควงวัดไฟ” หรือ “ไขควงลองไฟ” หนึ่งในอุปกรณ์ช่างที่ทุกบ้านควรมีไว้ ด้วยราคาแค่หลักสิบถึงหลักร้อย แต่อาจช่วยเซฟทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทุกคนในบ้านแบบประเมินค่าไม่ได้เลย เหตุผลที่กล้าพูดแบบนี้เพราะเจ้าไขควงวัดไฟเป็นอุปกรณ์ช่างสำหรับทดสอบแรงดันไฟฟ้าที่จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าในบ้านของเรามีไฟฟ้าหรือมีแรงดันไฟฟ้าอยู่หรือไม่ และยังใช้ตรวจสอบได้ด้วยว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าของเรามีรั่วหรือเปล่า ตัวเล็กจิ๋วแต่คุณสมบัติยอดเยี่ยมขนาดนี้จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักเจ้าไขควงวัดไฟให้มากขึ้นครับ


ไขควงลองไฟหรือไขควงวัดไฟหน้าตาอย่างไร?

ไขควงวัดไฟในท้องตลาดส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นไขควงวัดไฟแบบธรรมดา และไขควงวัดไฟแบบตัวเลขดิจิตอล ซึ่งแบบที่เป็นที่นิยมและคนส่วนใหญ่คุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดคือ ไขควงวัดไฟแบบธรรมดาที่มีหลอดไฟอยู่ที่ด้ามจับนั่นเองครับ

    ไขควงวัดไฟชนิดนี้เป็นไขควงเช็คไฟที่มีขนาดเล็ก มีปลายไขควงเป็นโลหะรูปร่างแบน ด้ามจับทำจากแก้วหรือพลาสติกที่ไม่นำไฟฟ้า มีปุ่มโลหะอยู่บริเวณก้นด้าม ส่วนภายในด้ามจะบรรจุหลอดนีออนและตัวต้านทานต่ออนุกรมจากปลายไขควงเช็คไฟมาที่ปุ่มโลหะบริเวณก้นด้ามเพื่อทำหน้าที่แสดงผลแรงดัน


ไขควงลองไฟหรือไขควงวัดไฟทำงานอย่างไร?

    หลักการทำงานของไขควงวัดไฟคือการอาศัยร่างกายของผู้ใช้งานเป็นสื่อ นั่นคือการอาศัยค่าความต่างศักย์ของกระแสไฟฟ้า ที่ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลจากจุดที่มีศักย์มากไปยังจุดที่มีศักย์น้อยกว่า เมื่อปลายไขควงวัดไฟสัมผัสกับตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวต้านทานเพื่อทำการจำกัดกระแสให้ลดลงจนอยู่ในระดับที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน จากนั้นจึงไหลผ่านไปยังหลอดนีออน ก่อนจะไหลต่อเนื่องไปยังร่างกายของผู้ใช้งานแล้วไหลลงพื้นเป็นอันครบวงจร ทำให้หลอดนีออนสว่างขึ้นมาได้ และเป็นเหตุผลที่ระหว่างใช้งานไขควงวัดไฟต้องไม่ใส่รองเท้านั่นเอง


ไขควงลองไฟหรือไขควงวัดไฟใช้งานอย่างไร?

เมื่อต้องการทดสอบแรงดันไฟฟ้าโดยไขควงวัดไฟ ให้จับบริเวณด้ามของไขควงที่เป็นแก้วหรือพลาสติก โดยระวังไม่ให้มือสัมผัสโดนส่วนปลายของไขควงเช็คไฟเด็ดขาด จากนั้นนำปลายไขควงเช็คไฟไปแตะที่ตัวนำ เต้ารับไฟฟ้า สายไฟ หรือบนโลหะที่ต้องการทดสอบ แล้วจึงใช้นิ้วหนึ่งแตะที่ปุ่มกดโลหะบริเวณก้นด้ามจับ หากหลอดนีออนในด้ามไขควงวัดไฟสว่างขึ้น แปลว่าบริเวณที่ทดสอบนั้นมีกระแสไฟฟ้า เป็นเส้นไลน์ หรือมีไฟฟ้ารั่วในระบบนั่นเอง


เมื่อใช้ไขควงลองไฟหรือไขควงวัดไฟต้องระวังอะไรบ้าง?

ข้อควรระวังเมื่อใช้ไขควงวัดไฟที่อยากแนะนำเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานมีดังนี้ครับ

1. ควรเลือกไขควงวัดไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับชนิดของไฟฟ้า โดยไฟฟ้ากระแสตรง DC คือไฟฟ้าที่ใช้ในรถยนต์ หรือไฟฟ้ากระแสสลับ AC จะใช้กับไฟที่มาจากการไฟฟ้า

2. นอกจากชนิดของไฟฟ้า ขนาดแรงดันของไฟฟ้าก็ต้องพอเหมาะ ไม่สูงหรือต่ำเกินไป เช่น การวัดกระแสไฟฟ้าในบ้านซึ่งใช้ไฟ 200 – 250 โวลต์ ก็ไม่ควรใช้ไขควงวัดไฟสำหรับแรงดัน 80 – 125 โวลต์ เป็นต้น และห้ามนำไขควงเช็คไฟไปใช้ทดสอบกับไฟฟ้าที่ไม่รู้ค่าแรงดัน หรือไฟฟ้าแรงสูงเด็ดขาด

3. การจับไขควงวัดไฟขณะใช้งาน ต้องระวังไม่ไปแตะบริเวณปลายไขควงส่วนที่เปลือยเด็ดขาด ควรใช้ไขควงวัดไฟที่ด้ามจับอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หุ้มด้วยฉนวนที่ไม่นำไฟฟ้าอย่างแก้ว หรือพลาสติก และอาจใช้เทปพันสายไฟพันให้รอบเพื่อช่วยป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรจากการใช้งานที่ไม่ระมัดระวังเพียงพอด้วย

4. การใช้ไขควงวัดไฟที่ถูกวิธี คือการนำปลายไขควงเช็คไฟไปแตะที่ตัวนำที่ต้องการทดสอบก่อน แล้วจึงใช้นิ้วแตะปุ่มโลหะบริเวณด้ามจับในขณะที่ถอดรองเท้าและไม่ยืนอยู่บนพื้นฉนวน เพื่อให้ไฟฟ้าไหลครบวงจร และสามารถแสดงค่าแรงดันที่ถูกต้องได้

5. ทุกครั้งที่ใช้งานไขควงวัดไฟ ให้ระมัดระวังและระลึกเสมอว่าอาจมีอันตราย เช่น ตัวไขควงวัดไฟอาจชำรุดหรือมีการลัดวงจรภายในได้ การใช้งานจึงต้องแตะพียงเล็กน้อยเท่านั้น

6. นอกจากนั้นเวลาแตะตัวนำไฟฟ้าต้องระมัดระวังไม่ให้ไขควงวัดไฟไปแตะโดนส่วนอื่นที่เป็นขั้วไฟฟ้าคนละขั้วพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะในพื้นที่แคบๆ เช่น การแตะโดนขั้วไฟต่างเฟส หรือขั้วมีไฟแตะกับขั้วดิน เป็นต้น เพราะจะทำให้เกิดการลัดวงจรและประกายไฟพุ่งออกมาใส่ผู้ใช้งานจนอาจบาดเจ็บรุนแรงได้

7. สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว ในสถานการณ์ที่มีขั้วไฟฟ้าเปิดโล่งหรือเปลือย เช่น บริเวณแผงสวิตช์ หรือเต้ารับที่เปิดฝาออก ต้องใช้ช่างไฟฟ้ามืออาชีพที่มีความชำนาญเฉพาะทางเป็นผู้ดำเนินการวัดไฟให้เท่านั้น

8. สำหรับไขควงวัดไฟที่ไม่ได้ใช้งานมานาน หลอดนีออน หรือตัวต้านทานภายในอาจชำรุด ใช้การไม่ได้ จึงควรทดสอบก่อนการใช้งานจริง โดยทดสอบกับส่วนที่รู้ว่ามีไฟแน่นอนเสียก่อน เช่น การแตะปลายไขควงเช็คไฟเข้าไปในรูเต้ารับผนัง จะมีรูหนึ่งเท่านั้นที่มีไฟ เป็นต้น

9. ในกรณีที่ไขควงวัดไฟชำรุด ห้ามนำมาซ่อมใช้ใหม่เด็ดขาด รวมถึงห้ามดัดแปลงไขควงวัดไฟด้วยตนเอง เช่น ดัดแปลงเปลี่ยนค่าความต้านทาน หรือต่อตรงความต้านทาน เป็นต้น


ภาพประกอบ :: sumo.siamglobal